แนะเก็บ KISS รับการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างโดดเด่นปีหน้านี้

2582 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แนะเก็บ KISS รับการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างโดดเด่นปีหน้านี้


หลังจากนางสาววิภาภรณ์ เนียมละออง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) ออกมาเปิดเผยว่า ตั้งแต่บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์การตลาดมาเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น และมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ถึง 21 SKUs จากที่วางแผนไว้ 35-40 SKUs ในครึ่งหลังปีนี้ ประกอบกับวิกฤตโควิดเริ่มคลี่คลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเครื่องสำอางค์ของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า 22.4% และเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 49.3% โดยสินค้ากลุ่มสกินแคร์มีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะแบรนด์ Rojukiss ที่เป็นแบรนด์หลัก ขณะที่สินค้ากลุ่มเมคอัพเริ่มเห็นการฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และบริษัทฯ จะยังเดินหน้าแผนการทำตลาด พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทำให้เชื่อมั่นว่า จะเห็นการเติบโตของยอดขายสดใสต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านพ้นไป

สำหรับแผนดำเนินงานปีหน้า บริษัทฯ เตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่น ทั้งด้านนวัตกรรมและคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ มุ่งเน้นไปที่สินค้าที่ใช้แล้วเห็นผลได้ชัดเจน สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด พร้อมทั้งเพิ่มงบการตลาด เพื่อโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยตั้งเป้ายกระดับแบรนด์ Rojukiss ให้เป็นแบรนด์ในใจผู้บริโภคอันดับต้นๆ (Top of Mind Brand) ส่วนแบรนด์ Sis2Sis จะมีการขยาย Portfolio ให้มีความหลายหลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับพัฒนาการเติบโตในช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมจากช่องทางร้านสะดวกซื้อ ขณะที่สินค้าใหม่ ในกลุ่มสุขภาพ (Healthcare) นำโดยสเปรย์พ่นจมูก “VAILL COVITRAPTM Anti-CoV Nasal Spray” ที่สามารถดักจับและยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางกายภาพ เป็นนวัตกรรมแรกของโลก พร้อมรุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้สะดวกมากขึ้น หลังจากการเปิดตัวในช่วงก่อนหน้านี้ได้กระแสตอบรับที่ดี

 

 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังพร้อมรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม หรือการขาย Cross Border ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมองหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ ในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวอีกด้วย ผ่านการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าให้เหมาะสม และทำการตลาดให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จัก

ภาพธุรกิจที่ผู้บริหาร KISS เล่าให้ฟัง ถูกตีความจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า จะทำให้บริษัทฯ พลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างโดดเด่น โดยกำไรไตรมาสสุดท้ายจะทำสถิติดีที่สุดในรอบปีนี้ ก่อนฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด ในปีหน้า   

ค่ายหยวนต้า (YUANTA) บอกว่า ในเบื้องต้น คาดกำไรปกติปีนี้เติบโต 12% ก่อนจะเติบโตสูง 69% สู่ระดับปกติก่อนโควิด ในปีหน้า ตามการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการเติบโตในตลาดอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การที่ KISS มีแผนรุกรุกตลาดเวียดนามมากขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป ขณะที่ Nasal spray มีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน เนื่องจากการระบาดยังมีอยู่ในทุกประเทศภายหลังมีการเปิดประเทศมากขึ้น จะเป็น Upside ต่อประมาณการในลำดับถัดไป  

อย่างไรก็ตาม กำไรปกติไตรมาสสุดท้ายปีนี้น่าจะทำระดับสูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส และมีความเป็นไปได้ด้วยว่า อาจเห็นกำไรปกติอยู่ในกรอบ 45–50 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะทำให้กำไรปกติทั้งปีอยู่ที่ 134–139 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่คาดไว้ล่าสุดอีก 10–15% ทำให้อาจต้องปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าขึ้นอีก

สำหรับประเด็นกังวลเรื่องการขายหุ้นของ บมจ. จี เอ็ม เอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) ได้รับคำชี้แจงจากผู้บริหาร KISS ว่า ในสัญญาซื้อขายหุ้นก่อนหน้านี้ มีการกำหนดเงื่อนไขในการขายหุ้นว่า จะต้องได้รับการยินยอมจากกรรมการบริษัทฯ ก่อน จึงไม่น่าส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอีก ยิ่งราคาหุ้นปัจจุบันมี upside จากราคาเป้าหมายสิ้นปีหน้า 11.90 บาท เกิน 35%  จึงแนะนำ "ซื้อ" 

ด้านกรุงศรี (KSS) ประเมินกำไรปกติปีนี้จะเติบโต 14% เป็น 123 ล้านบาท ก่อนเติบโตโดดเด่นกว่า 81% ในปีหน้า สู่ระดับ 222 ล้านบาท เพราะคาดรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามในปีหน้าจะขยายตัวราว 25% กลับไปแตะระดับ 1 พันล้านบาท เช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด หนุนด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง COVITRAP ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง

 



นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งเป็น New S-Curve อย่าง COVITRAP สเปรย์พ่นจมูกที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเชื้อโควิด ของไฮไบโอไซ ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ประเมินบริษัทฯ จะมีรายได้เพิ่มจากการขายผลิตภัณฑ์นี้ในปีนี้ 100 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท ในปีหน้า คิดเป็นมูลค่าพื้นฐานปีหน้าที่ 11 บาท อิง PER 30 เท่า จึงแนะนำ "ซื้อ" เนื่องจากเชื่อมั่นว่า กำไรปกติ 3 ปีนี้ (2565-67) จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 33%

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้