2354 จำนวนผู้เข้าชม |
นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ อาร์ ดับเบิ้ลยู ยูทิลิตี้ (JR) เปิดเผยว่า ในโค้งสุดท้ายปีนี้ บริษัทฯ ได้งานใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 270 ล้านบาท แบ่งเป็นงานโครงการระบบโครงสร้างพื้นที่มีความปลอดภัยขั้นสูงในกลุ่ม "แพลนต์เบส" ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน (Electrical and Instrument Work for CFP Concurrent Work Project – Package LCO New LCO and Associated Fuel Oil Facilities) 2 โครงการ จาก บมจ. ไทยออยล์ (TOP) มูลค่า 62.14 ล้านบาท และ บมจ. ไทยลู้บเบส (TLB) มูลค่า 31.77 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 23 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเหมือนกัน และอีก 1 โครงการ จากงานรื้อย้ายระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ สัญญาที่ 1 ร่วมกับกิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-พีแอล มูลค่ารวม 137 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2005 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา หนุนให้บริษัทฯ มีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 3,611 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้านี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะมีการทยอยเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟสที่ 2 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท หรืองานรื้อย้ายระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายอื่นๆ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จึงทำให้มั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตจากปีก่อน 15-20% ตามเป้าหมายที่วางไว้
ที่สำคัญ การได้งานโครงการ Electrical and Instrument Work for CFP Concurrent Work Project – Package LCO New LCO and Associated Fuel Oil Facilities จาก TOP และ TLB ซึ่งเป็นงานที่มีคู่แข่งน้อย ทำให้บริษัทฯ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อสนับสนุนให้มีช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ ผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองนักวิเคราะห์จากฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บอกว่า การที่ JR ประกาศกำไรปกติไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 26 ล้านบาท ลดลง 52.9% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 51.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ตามฐานรายได้ที่หดตัว 7.5% QoQ และ 13.6% YoY จากปริมาณงานที่รับรู้น้อยกว่าปีก่อน ทำให้ผลดำเนินงานรวมงวด 9 เดือนปีนี้ หดตัวลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 24.49% ตามไปด้วย อีกทั้งบริษัทฯ เผชิญปัญหาการเข้าหน้างานช่วงปลายไตรมาส จากสถานการณ์น้าท่วมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผลลบของ Operating Leverage ฉุดให้ EBITDA Margin หดตัวเหลือเพียง 7.8% จากที่ทำได้ 13.7% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และ และ 14.2% ในไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้ปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 44% เหลือ 163 ล้านบาท ชะลอตัว 24.8% YoY แต่เชื่อว่า จะกลับมาฟื้นตัวแรงในปีหน้าถึง 68.7% YoY เป็น 276 ล้านบาท รวมถึงมี Catalyst บวกจากโอกาสรับงานใหม่รออยู่
ที่น่าสนใจกว่านั้น การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง สะท้อนกำไรที่อ่อนแอไปมากพอสมควรแล้ว โดยเชื่อว่า กำไรอยู่ในจุด Bottom แล้ว ก่อนจะฟื้นตัวในปีหน้า จึงแนะนำ "ซื้อลงทุน" โดยให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 7.60 บาท อิง Target PER ที่ 20 เท่า