2174 จำนวนผู้เข้าชม |
การดีดตัวของราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ขานรับ Theme ลงทุนในหุ้น Domestic Plays เพื่อลดความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศรายวัน ก่อนจะคึกคักมากขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมาให้ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 4.6 ล้านคน พร้อมคาดหมายจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีน่าจะแตะ 10 ล้านคน ต่อเนื่องด้วยการคาดหมายจากสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ว่า น่าจะเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยทั้งปีทะลุ 12 ล้านคน เพราะประเมินว่าในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วง High Season จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเดือนละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม กลับมีความแตกต่างกันไปรายตัว ตามปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทฯ รวมถึงแรงเชียร์จากนักวิเคราะห์ และนักกลยุทธ์แต่ละสังกัด และล่าสุด เริ่มมีเสียงเตือนให้ขายทำกำไรหุ้นบางตัวออกมา เพราะราคาปรับสูงมากแล้ว จน upside เริ่มจำกัดแล้ว และบางตัว มีประเด็นกดดันระยะสั้นเข้ามากระทบ
ค่ายดาโอ (DAOL) ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ เพราะเชื่อว่าจะเห็นนักท่องเที่ยวเข้าไทยทั้งปี 10 ล้านคน เหมือนที่ ททท. คาดไว้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบผลประโยชน์ที่แต่ละบริษัทฯ จะได้รับจากการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวต่าวชาติ พบว่า ERW จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศสูงถึง 88% รองลงไปเป็น CENTEL ที่มีสัดส่วนรายได้ในประเทศราว 80% ส่วน MINT และ SHR มีสัดส่วนรายได้ในประเทศน้อยที่สุด เพียง 15% และ 5% ตามลำดับ
ซี่งเมื่อคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจ ค่ายนี้ชอบ CENTEL (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท) เพราะได้ประโยชน์ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด ขณะที่ธุรกิจอาหารมีการเติบโตได้ แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนให้ผลดำเนินงานครึ่งปีหลังมีกำไรทุกไตรมาส ส่วน ERW (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ชอบเพราะเป็น Pure hotel โดยคาดว่าครึ่งปีหลังจะเห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่น เพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศครอบคลุมทุกเซกเมนต์ มากที่สุดในกลุ่ม ประกอบกับมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดในกลุ่มราว 15% นอกจากนี้ ยังชอบ AOT (ซื้อ/เป้า 82.00 บาท) เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัวทั้งขาเข้าและขาออก
นอกเหนือจากกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมแล้ว การท่องเที่ยวน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อ BAFS (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท) เช่นกัน เพราะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบิน และปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ฟิลลิป (PLS) บอกว่า เห็นการฟื้นตัวของอัตราการเข้าพัก และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย ของกลุ่มโรงแรมปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่เข้าพักมากขึ้น ทำให้การดำเนินงานช่วงที่เหลือฟื้นตัวดีขึ้นทั้งรายไตรมาส และรายปี และยกให้ CENTEL เป็น Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม โดยให้ราคาเป้าหมายปีนี้ 49 บาท
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นทางเลือกอย่าง SPA ซึ่งโมเมนตัมการดำเนินงานเร่งตัวขึ้นทุกเดือน ตามจำนวนผู้เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้น รับการผ่อนคลายมาตรการหนุนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น อีกทั้งคนไทยเที่ยวในประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วง High Season มีโอกาสลุ้นผลประกอบการพลิกกำไร แนะนำ "ทยอยซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายปีหน้า 11 บาท
ส่วนบัวหลวง (BLS) คาดกำไรหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปีหน้าจะโตแตะระดับ 60% ของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด ก่อนจะทะลุกำไรปี 2562 ราว 26% ในปี 2567 พร้อมเลือก AOT และ AWC เป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่ม เพราะ AOT เป็นผู้เล่นหลักสำหรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สำหรับ AWC มั่นใจว่าการเติบโตยุคหลังโควิดจะโดดเด่นสุดในกลุ่มโรงแรม เพราะเป็นโรงแรมเดียวในกลุ่มที่แนวโน้มกำไรปีนี้จะมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ขับเคลื่อนโดยการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่ลงทุนไปช่วงปี 2563 ทำให้สิ้นปีนี้ มี Capacity มากกว่าปี 2562 ราว 22% ช่วยผลักดันให้รายได้เติบโตโดดเด่นมาก โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทั้งจากการจัดงาน Event การอบรมสัมมนา (MICE) ที่เป็น Partner กับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ใช้จัดการประชุม APEC รวมไปถึงยอดจองโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวที่สดใส ต่อเนื่องด้วยการอบรมสัมมนาระดับนานาชาติเพิ่มเติม อีกทั้งยังมี Disney มาให้บริการที่ Asiatique ด้วย ขณะที่แนวโน้มกำไรปี 2566-68 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 66% จากการทยอยเพิ่ม Capacity กว่า 12 แห่ง นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังต่ำที่สุดในกลุ่มโรงแรม โดยซื้อขายที่ PEG เพียง 0.88 เท่า แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปีหน้า 6.60 บาท
อย่างไรก็ตาม หยวนต้า (YUANTA) ปรับลดน้ำหนักการลงทุนเป็น "เท่ากับตลาด" หลังราคาหุ้นในกลุ่มปรับขึ้นมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในไทย ทำให้ราคาปัจจุบันเริ่มมี Upside จำกัด เลือก ERW เป็นตัวแทนโรงแรมในไทย ราคาเป้าหมายที่ 4.60 บาท พร้อมแนะนำ VRANDA เป็นอีกทางเลือก เพราะราคายังไม่แพง โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 9.20 บาท
ในระยะสั้น แนะให้ลงทุนโรงแรมที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก เพราะมีความได้เปรียบเหนือโรงแรมที่มีฐานในยุโรป อย่าง MINT และ SHR เนื่องจากไม่ต้องแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูง ซึ่งคาดจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรปีหน้า แต่เชื่อว่า กำไรจะยังเติบโตโดดเด่นจากฐานที่ต่ำ หนุนด้วยการรับผลบวกจากการเปิดประเทศทั่วโลกเต็มปีเป็นปีแรก แต่เมื่อถึงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ให้เริ่มพิจารณาขายทำกำไรหุ้นโรงแรมในประเทศ และรอสะสมหุ้นโรงแรมที่มีฐานในยุโรป หากผ่านหน้าหนาวได้โดยไม่มีปัญหาที่รุนแรงเพิ่มเติม