2123 จำนวนผู้เข้าชม |
ตามที่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (AWN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) และบริษัท อคิวเมนท์ (ACU) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JAS ได้เข้าทำบันทึกข้อตกลงในการซื้อขายหุ้น บมจ. ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) และการซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) คิดเป็นมูลค่ารวม 3.24 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า AWN พร้อมลงนามสัญญาซื้อขายหุ้น TTTBB และหน่วยลงทุนใน JASIF หลังจากได้รับการอนุญาตเข้าทำธุรกรรมจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงที่ทำกันไว้ระหว่าง AWN กับกลุ่ม JAS มีการกำหนดเงื่อนไขบังคับในการลงทุนด้วยว่า AWN จะขอแก้ไขสัญญาของกองทุน JASIF ในประเด็นขอยกเลิกสัญญาประกันรายได้ และยอมรับการขยายระยะเวลาการเช่า
ต่อมา ทางที่ปรึกษาการเงินอิสระของ JAS บริษัท ดิสคัฟเวอร์ แมเนจเม้นท์ ได้เสนอความเห็นว่า แม้การทำรายการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ เพราะจะทำให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงรักษาสัดส่วนทางการเงินตามสัญญาเงินกู้และสัญญากับ JASIF ด้วยเงินสดคงเหลือราว 1.93 หมื่นล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้นยังไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการครั้งนี้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนของการดำเนินธุรกิจในอนาคต เนื่องจาก JAS ยังไม่มีแผนชัดเจนว่า จะนำเงินสดคงเหลือไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้นอย่างไร นอกจากนี้ ยังไม่สามารถยืนยันถึงความสมเหตุสมผลในสัญญาซื้อขายหุ้น และหน่วยลงทุนได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากการเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้ มีเงื่อนไขบังคับอีกหลายข้อที่ยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงการเข้าทำรายการจะต้องรอจนกว่าได้รับอนุมัติจาก กสทช. ซึ่งหากยังไม่ได้รับการอนุมัติ จะทำให้ JAS และ AWN ยังไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายหุ้นและหน่วยลงทุนได้ ดังนั้น ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระจึงเห็นว่าผู้ถือหุ้นยังไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการครั้งนี้
แต่เพื่อไม่ให้ธุรกรรมสะดุด ทาง ADVANC ได้ออกมาแก้เกม ด้วยการเพิ่มกระแสเงินสดล่วงหน้าให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมย้ำด้วยว่า ข้อเสนอนี้จะมีผลบังคับใช้หากผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF ตกลงยกเลิกสัญญาประกันรายได้ และยอมรับการขยายระยะเวลาการเช่า โดย ADVANC พร้อมจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น 1 พันล้านบาท ตั้งแต่ปี 2566-2568 โดยเงินที่จ่ายล่วงหน้านี้จะหักจากค่าเช่าตามสัญญาจริงในปี 2573-2574 จำนวน 300 ล้านบาท และในปี 2575-2580 จำนวน 400 ล้านบาท
การแก้ไขเงื่อนไขในข้อตกลงครั้งนี้ ทำให้ บลจ. บัวหลวง (BBLAM) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน JASIF ต้องเปลี่ยนแปลงวาระการประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของธุรกรรมที่ได้มีการแก้ไข จากเดิมวันศุกร์ที่ 23 กันยายน ไปเป็นวันอังคารที่ 18 ตุลาคมแทน เพราะต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการแก้ไข และจัดเตรียมเอกสารประกอบการประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน
พร้อมกันนี้ JASIF ยังเสนอวาระการลงคะแนนใหม่ใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือ การรวมทุกข้อเสนอในวาระเดียว ไม่ว่าจะเป็น การโอนสิทธิความเป็นเจ้าของ การสิ้นสุดการรับประกันรายได้ การยกเว้นสัญญาห้ามแข่งขัน อย่างไรก็ดี หากผู้ถือหน่วยลงทุนปฏิเสธรูปแบบแรก จะต้องพิจารณารูปแบบที่สอง ซึ่งจะแบ่งข้อเสนอต่างๆ ออกเป็น 3 วาระย่อย
ที่สำคัญ เงื่อนไขบังคับก่อนอันล่าสุดนี้ จะมีผลก็ต่อเมื่อธุรกรรมซื้อหุ้นและซื้อหน่วยลงทุนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงกรณีที่ที่ประชุมผู้ถือหน่วยของ JASIF มีมติอนุมัติการดำเนินการที่เกี่ยวข้องของ JASIF เพื่อการเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นและซื้อหน่วยลงทุน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า ธุรกรรมซื้อหุ้นและซื้อหน่วยลงทุนจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกปีหน้า
ในประเด็นเหล่านี้ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มไอซีที ตีความว่า การแก้เกมของ ADVANC ครั้งนี้ จะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF ได้เงินปันผลใน 3 ปีแรกสูงขึ้น 1.5% ซึ่งจะจำกัด downsize และเพิ่ม upside ให้กับราคาหน่วยลงทุน JASIF ที่ปรับฐานลงมากว่า 19% ตั้งแต่ ADVANC ประกาศเงื่อนไขบังคับด้วยการขอลดการจ่ายค่าเช่าลง 30% จากอัตราปัจจุบัน แลกกับการต่ออายุสัญญาเช่าไปอีก 6 ปี ซึ่งมีผลให้อัตราเงินปันผลของ JASIF ลดลงจาก 10% เหลือ 7% และสะท้อนให้เห็นว่า ADVANC มุ่งมั่นที่จะซื้อกิจการ TTTBB และ JASIF ให้ประสบความสำเร็จ
กสิกรไทย (KS) บอกว่า ยังเชื่อว่า ADVANC จะเดินหน้าซื้อกิจการต่อ โดยไม่มีส่วนลดค่าเช่า สังเกตได้จากค่าเช่ารวมของข้อตกลงใหม่ยังเท่ากับข้อตกลงเดิม แต่อัตราค่าเช่าที่เป็นมิตรมากขึ้น น่าจะดึงดูดนักลงทุนใหม่ที่ไม่ได้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF มาก่อน ให้เข้ามาซื้อหน่วยลงทุน JASIF จากอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจาก 7.0% เป็น 8.5% ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ ADVANC ช่วง 3 ปีแรกเล็กน้อย
ยังคงคาดการณ์กำไรปกติปี 2565-2567 ตามเดิมที่ 3.27 หมื่นล้านบาท และ 3.66 หมื่นล้านบาท พร้อมคงราคาเป้าหมายตามวิธีคิดลดเงินสด (DCF) สิ้นปีหน้าที่ 249.45 บาท โดยคงแนะนำ “ซื้อ” เพราะมีปัจจัยหนุนตัวคูณมูลค่าหุ้น 3 เรื่อง คือ การซื้อกิจการประสบความสำเร็จโดยสิ้นสุดสัญญาประกันรายได้ สภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ดีขึ้นในตลาดโทรศัพท์มือถือ และบรอดแบนด์ หลังการรวมตลาด และการปลดล็อคมูลค่าที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสปินออฟทรัพย์สิน ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล เสาสัญญาณมือถือ
ด้านเมย์แบงก์ (MST) ระบุว่า หากไม่มีการลดค่าเช่าให้กับ JASIF คาดว่าการซื้อกิจการ TTTBB และ JASIF จะมีผลกระทบทางลบต่อกำไรสุทธิปีหน้าของ ADVANC 3% เมื่อตั้งสมมติฐานว่า TTTBB มีกำไรสุทธิปีหน้า 105 ล้านบาท ในทางกลับกัน ถ้าค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้ JASIF ลดลง 15-31% จะให้ upside ต่อกำไรสุทธิปีหน้า ราว 1-4% นอกจากนี้ ราคาหุ้นได้สะท้อนประเด็นที่ไม่มีการลดค่าเช่าให้กับ JASIF แล้ว จึงคงแนะนำ “ซื้อ” ADVANC ที่ราคาเป้าหมาย 244 บาท เมื่อใช้วีธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF ที่ 7.5% WACC, 2.0%) โดยมีปัจจัยที่จะหนุนราคาหุ้น คือ ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่ง และการแข่งขันในธุรกิจมือถือที่ผ่อนคลายลง
ส่วนโนมูระ พัฒนสิน (CNS) มองว่า โอกาสที่ดีลซื้อกิจการเดินหน้าได้มีเพิ่มมากขึ้ น ส่งผลบวกในทางพื้นฐานระยะกลางต่อ ADVANC เพราะการการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้กับ JASIF เพิ่มความสามารถในการจ่ายปันผล ปีละ 1 พันล้านบาท ช่วงปี 2566-2568 ไม่กระทบฐานะการเงิน ADVANC อย่างมีนัยฯ แต่ทำให้มูลค่าเพิ่มสุทธิที่ได้ จากดีลลดลง 0.30 บาท จากโครงสร้างเดิมที่ประเมินไว้ 3 บาท โดยส่วนที่จะเป็นบวก คือ โอกาสประสบความสำเร็จในการซื้อกิจการเปิดกว้างมากขึ้น และ downsize ต่อราคาหุ้นที่จำกัด เพราะราคาหุ้น ADVANC ช่วงเดือนที่ผ่านมาปรับลง 6% แย่กว่ากลุ่ม ICT ถือได้ว่าสะท้อนความเสี่ยงดังกล่ าวไปหมดแล้ว มองหุ้นอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุน โดยมีราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 252 บาท
ส่วน JASIF แม้อยู่ในระหว่างทบทวนประมาณการ แต่มองภาพบวก เพราะเห็นถึงความตั้งใจซื้อกิจการของ ADVANC ช่วยลดความกังวลว่าดีลจะล้ม และ JASIF ต้องกลับไปพึ่งค่าเช่าจาก JAS ที่ธุรกิจมีความเสี่ยงอ่อนแอลงในระยะกลาง จนอาจสร้างผลกระทบต่อความสามารถจ่ายปันผลตามมา แนะนำ "เก็งกำไร"