1619 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก สรุปได้ว่า มีกำไรสุทธิ 1.525 หมื่นล้านบาท เติบโต 18.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.36% จาก 3.08% ในครึ่งแรกปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก โดยเฉพาะกลยุทธ์การระดมเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
แต่หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR) ในช่วงครึ่งแรกปีก่อน ธนาคารจะมีกำไรสุทธิลดลง 27.5% คิดเป็นมูลค่า 5,796 ล้านบาท
ส่วนสินเชื่อรวมอยู๋ที่ 5.83 หมื่นล้านบาท เติบโต 3.1% YoY ขับเคลื่อนโดยสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ขยายตัว 5.0% และ 5.2% ตามลำดับ
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 616 ล้านบาท หรือ 3.6% YoY แต่หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรในการขายหุ้น TIDLOR รายได้ส่วนนี้จะลดลง 1.13 หมื่นล้านบาท หรือ 40.8% YoY
สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานตามปกติ ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.4% ในครี่งแรกปีก่อน มาเป็น 42.9% เช่นเดียวกับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 2.11% เมื่อเทียบกับ 2.20% ช่วงสิ้นปีก่อน ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 189.2% จาก 184.2% และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.59% คิดเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ในอัตรา 12.82%
โอกาสนี้ นายเซอิจิโระ อาคิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY ยืนยันด้วยว่า แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก แต่ธนาคารจะยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลิตภาพในการดำเนินงานให้มากขึ้น เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินของโลกยังมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูง ที่ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในไตรมาส 3 นี้
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อรวมไว้ที่ 3-5% อิงสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 3.1%