1280 จำนวนผู้เข้าชม |
นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยวา (TWPC) ผู้นำแพลตฟอร์มผลิตผลทางการเกษตร และผู้ผลิตมันสำปะหลังรายใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจปีนี้ ว่า ยังคงมีทิศทางสดใสต่อเนื่อง จากความสำเร็จในการรุกขยายตลาดทั่วโลก สะท้อนผ่านผลดำเนินงานไตรมาสแรกที่เติบโตแข็งแกร่งสวนกระแสเศรษฐกิจ โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 30% อีกทั้งในไตรมาส 2 ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป ธุรกิจได้ปัจจัยสนับสนุนจากยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตมากขึ้น หนุนด้วยราคาส่งออกที่ปรับเพิ่มขึ้น และยังได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทอีก ขณะที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะในตลาดหลัก ทั้งไทย เวียดนาม จีน และอเมริกา
และภายในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมแผนเปิดออฟฟิศร่วมกับพันธมิตรที่ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก และลอนดอน เพื่อทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีอาหาร เทคโนโลยีการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ ควบคู่ไปกับการหาข้อสรุปเรื่องการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ 3 แห่ง ในสหรัฐฯ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ผ่านไทยวา เวนเจอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ ที่มีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง ทั้งในกลุ่มเกษตรและอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ และดิจิทัลซัพพลายเชน เพื่อช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย
"บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง แป้งดัดแปลง และแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิก ซึ่งคัดสรรวัตถุดิบจากหลายๆ ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้บริการลูกค้าในประเทศต่างๆ รวมถึงบริษัทชั้นนำระดับโลก และบริษัทอาหารที่ติดอันดับ Fortune 500 และยังเป็นหนึ่งในบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากพืชล้วนๆ จากฟาร์มจนถึงมือผู้บริโภค สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร ส่วนผสมและแป้งประกอบอาหาร การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TWPC ชี้ประเด็น
ในความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ค่ายกรุงศรีอยุธยา (KSS) ขานรับแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2 ของไทยวา ว่า จะดีขึ้นทั้งรายปี (yoy) และรายไตรมาส (qoq) จากทั้งการที่ราคาขายสินค้าสูงขึ้น และปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น ยิ่งบริษัทฯ สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงขึ้นตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการรุกพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มากขึ้น จึงคาดว่าแนวโน้มผลดำเนินงานปีนี้ และปีหน้า จะเติบโตจากที่ทำได้ปีก่อน 323 ล้านบาท เพิ่มเป็น 553 ล้านบาท และ 630 ล้านบาท (+71.2% YoY, +13.9% YoY) ตามลำดับ ทำห้ประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้นได้ที่ 7.60 บาท
ทั้งนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เรื่องอุปทานข้าวโพดด้วยว่า จะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงไร และเป็นจริงอย่างที่มีการคาดหมายกันเรื่องสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อผลผลิตเพิ่มเติมด้วย เพราะจะเป็นปัจจัยฉุดให้ราคาแป้งมันสำปะหลังลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรชะลอตัวลงตามมา