1789 จำนวนผู้เข้าชม |
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ทำสัญญาขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ฮิดากะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 17 เมกะวัตต์ (MW) เป็นเงิน 718 ล้านบาท ให้กับกลุ่มทุนญี่ปุ่น โดยจะรับรู้กำไรเข้ามาทันทีในไตรมาส 2 นี้ โดยมีแผนนำเงินที่ได้ไปขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ทุกรูปแบบ เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ 500 MW ภายในปี 2568
"ดีลนี้ทำให้เราได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการนี้เพิ่มขึ้นมาก เพราะผู้ลงทุนใหม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจพลังงานสะอาดที่มีส่วนช่วยลด Carbon Emission โดยเรามีแผนจะนำเงินที่ได้รับบางส่วนย้อนกลับไปลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ในญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มปลายปีนี้ และเตรียมไว้สำหรับการลงทุนในโครงการอื่นๆ ที่มีในมืออีกมาก” นายวรุฒม์ ชี้แจง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา SSP ขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนที่หลากหลายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทน และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยในพอร์ตของบริษัทฯ ไม่ได้มีแค่พลังงานจากแสงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยังมีโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 9.9 MW โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม กำลังการผลิต 48 MW และวินด์ชัยฟาร์ม กำลังการผลิต 45 MW ในสัดส่วน 25% ซึ่งหลังจากนี้ สัดส่วนโรงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานลม หรือ โรงไฟฟ้าชีวมวล จะมีสัดส่วนสูงขึ้น หนุนให้ภาพรวมผลดำเนินงานของบริษัทฯ มีพัฒนาการในการเติบโตชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ค่ายเอเซีย พลัส (ASPS) บอกว่า ธุรกรรมนี้สร้างผลกำไรจากจากขายโครงการ คืนกลับให้ผู้ถือหุ้น (EIRR) ได้ในระดับสูงราว 20% เพราะโครงการฮิดากะมีเงินลงทุนเริ่มต้นราว 1.3 พันล้านเยน และให้ผลกำไรกับบริษัทฯ ปีละ 25-50 ล้านบาท คาด SSP จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในไตรมาส 2 นี้ประมาณ 230 ล้านบาท เพราะมี transection cost ที่ 1.5% ของมูลค่าการขาย และบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ส่วนใหญ่ไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า Solar LEO2 ซึ่งมีแผนเริ่มก่อสร้างปีนี้ และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปีหน้า
ดังนั้น หลังจากได้ปรับปรุงประมาณการผลดำเนินงานของ SSP ใหม่ คาดว่า แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2 น่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย จากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่มีกระแสลมอ่อนตัวตามฤดูกาล แม้จะมีแรงหนุนช่วยชดเชยได้บ้าง จากการเข้าสู่ช่วง High season ของกลุ่มโรงไฟฟ้า Solar อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิคาดจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก (QoQ) จากการบันทึกกำไรพิเศษในธุรกรรมดังกล่าว จึงยังคงมูลค่าพื้นฐานหุ้น SSP ไว้ที่ 13.30 บาท เหมือนเดิม และแนะนำ “ให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุน”