406 จำนวนผู้เข้าชม |
ไวรัสโควิด-19 นั้นเกิดการระบาดใหญ่ในปี 2020 จนถึงวันนี้ก็ประมาณ 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่จบ คนจำนวนมากยังคิดว่าการเกิดสายพันธุ์ใหม่คือ "โอไมครอน" ที่มีการติดเชื้อง่ายขึ้นหลายเท่าเทียบกับพันธุ์ "เดลต้า" อาจจะทำให้โลกต้องวุ่นวายต่อไปอีกนาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเรื่องโควิด-19 น่าจะใกล้จบลง เรื่องโควิดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก ภาพคนที่เสียชีวิต และการปิดเมืองนั้นส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำลง โดยเฉพาะในปี 2020 และได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกต่ำลงอย่างแรงในช่วงเวลาหนึ่งประมาณ 2-3 เดือน ก่อนจะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้น ข่าวเกี่ยวกับโควิดก็เกิดขึ้นเกือบทุกวัน "กระทบกับดัชนีหุ้น" เป็นระยะตลอด จนถึงวันนี้ที่ดูเหมือนว่าโควิดจะกลับมาเป็นประเด็นที่ "ชี้เป็นชี้ตาย" ตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เป็น "ปัจจัยเสี่ยง" ที่สำคัญที่สุดในอีกหลายปัจจัย เช่นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ สภาพคล่องทางการเงิน และ "สงครามเย็น" ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เป็นต้น
ข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับโควิดนั้น เราได้รับฟังและรับทราบมาจนชิน และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกนั้นขึ้นอยู่กับการระบาดของโควิดมาก .. ภาวะโควิดดีขึ้น หุ้นขึ้น.. โควิดแย่ลง หุ้นตก .. ถ้าคุมโควิดไม่ได้ หุ้นเป็นหายนะ ทั้งหมดนี้ผมในฐานะที่เป็นคน "ขี้สงสัย" ในทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่คน 99.99% เชื่อแบบเดียวกัน ผมก็ยังมีข้อสงสัยว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่า "ตลาดหุ้นกลัวโควิด" เพราะจากการสังเกตอย่างง่ายๆ ผมยังไม่เห็นนักลงทุนคนไหนหนีจากตลาดหุ้นจริงๆ เลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีแต่นักลงทุนหน้าใหม่ๆ เป็นล้านๆ คน แห่กันเข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้น ในตลาดไทย ในเวียดนาม และในอเมริกาอย่างที่ "ไม่เคยปรากฏมาก่อน" นอกจากนั้น เพื่อให้มั่นใจว่า ตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยซึ่งรวมถึงนักลงทุนรายย่อย สถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศด้วยนั้น ไม่ได้กลัวหรือสนใจภาวะการระบาดของโควิดเลย ผมจึงต้องอาศัยตัวเลขดัชนีหุ้นของ 3 ประเทศดังกล่าวมาเป็นเครื่องพิสูจน์
เริ่มจากตลาดหุ้นอเมริกา ที่ผมอยากจะแยกว่าเป็นตลาดของหุ้นขนาดใหญ่อย่างดัชนีดาวโจนส์ หุ้นทั้งประเทศอย่าง S&P และหุ้นไฮเท็คและหุ้นเล็กอย่างดัชนีแนสแด็ก ว่ามีผลงานเป็นอย่างไรในช่วงเวลาที่เกิดโควิดและช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง
ในปีที่เกิดโควิดคือปี 2020 หรือปีที่แล้วทั้งปีนั้น ดัชนีดาวโจนส์ให้ผลตอบแทนเป็นบวกประมาณ 7% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างจะปกติมากสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ในขณะที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทน ถึง 16% ซึ่งเป็นผลตอบแทนระดับดีเยี่ยมเหนือกว่าผลตอบแทนปกติในระยะยาว เช่นเดียวกับดัชนีแนสแด็กที่ให้ผลตอบแทน 14% ซึ่งก็เป็นผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติ แม้ว่าจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับ S&P และนี่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะมีความเชื่อกันมากในช่วงเกิดโควิดว่า หุ้นไฮเท็คที่เป็นดิจิทัลจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากโควิด ไม่ใช่หุ้นทั้งประเทศในอเมริกาที่น่าจะถูกกระทบในทางลบมากกว่า
ปีนี้ที่เกือบจะหมดปีอยู่แล้วนั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาก คือเพิ่มขึ้นถึง 19% อานิสงค์จากการ "ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ" ซึ่งเกิดจากการระบาดของโควิดที่น้อยลงและการฟื้นตัวของการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอะไร นี่คือผลงานที่ยอดเยี่ยมของตลาดหุ้นขนาดใหญ่ นาน ๆ ถึงจะเห็นซักที ดัชนี S&P เองนั้นยิ่งดีกว่าที่ให้ผลตอบแทนถึง 28% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นโดยรวมของประเทศในปี 2020 นั้นอาจจะไม่ได้สนใจโควิดเลย พวกเขาน่าจะ "ใช้ชีวิตปกติ" และอาจจะเนื่องจากรัฐบาลมีการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมากก็เลยทำให้เศรษฐกิจดี ผู้คนจับจ่ายและทำงานกันมากกว่าปกติด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งอาจจะชดเชยช่วงที่ต้อง "อยู่กับบ้าน" ในปีที่แล้ว
ในส่วนของดัชนีแนสแด็กนั้นก็เติบโตดี ให้ผลตอบแทนถึง 23% แต่ก็ยังต่ำกว่า S&P ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่น่าจะหันไปใช้บริการของหุ้นดิจิทัลมากขึ้นในช่วงโควิด และนี่ก็ทำให้ผมสงสัยว่า ตกลงโควิดมีผลอะไรกับหุ้นอเมริกาในช่วง 2 ปีนี้มากมายจริงหรือเปล่า? หรือจริงๆ แล้วหุ้นอเมริกานั้นก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ "ตามปกติ" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เป็น "ยุคทอง" ของหุ้นอยู่แล้ว
เพราะถ้าเรามองย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมาตลอด เพิ่มขึ้นถึง 82% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 12.7% ซึ่งถือว่าดีเยี่ยม ดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้น 111% หรือเท่ากับผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 16.1% ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นยุคทองของหุ้นของประเทศสหรัฐฯ ได้เลย ในขณะที่ดัชนีแนสแด็กนั้นยิ่งไปกันใหญ่ เวลา 5 ปี ดัชนีปรับขึ้นไปถึง 190% หรือเท่ากับผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 23.7% และก็ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นไฮเท็คและดิจิทัลที่ดำเนินมาตลอดและก็น่าจะเกิดขึ้นเป็น 10 ปีมาแล้ว พูดง่ายๆ ผมคิดว่า เรื่องโควิดที่ทำให้คนหันมาใช้บริการของหุ้นดิจิทัลมากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ที่จริงอาจจะ "คิดกันไปเอง" ความจริงอาจจะเป็นว่า หุ้นไฮเท็คก็โตเร็วแบบนี้มานานก่อนเกิดโควิดแล้ว โควิดไม่ได้ไปเร่งอะไรมัน ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านั้น หุ้นไฮเท็คที่โตเร็วมากก็อาจจะเป็นเฟซบุค หรือแม้แต่เน็ตฟลิกที่โตเร็วมานานแล้ว ถึงช่วงโควิดก็โตต่อแต่ไม่มาก ช่วงโควิดที่โตเร็วจริงๆ ก็อาจจะเป็นหุ้นซูม และอะมาซอนแค่นั้นเอง เป็นต้น
หันมาดูตลาดหุ้นไทย ปี 2020 หรือปีเริ่มโควิดนั้น ดัชนีตกไป -8% ทุกคนมั่นใจว่าเป็นเรื่องของโควิดที่กระทบกับเศรษฐกิจไทยมากกว่าเศรษฐกิจโลก เพราะเราพึ่งพิงการท่องเที่ยวมาก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบไปประมาณ 6% พอถึงปีนี้ที่เศรษฐกิจไทย "ยังไม่ฟื้นตัว" และอาจจะบวกได้แค่ 1% แต่ดัชนีกลับปรับตัวขึ้นไปถึงประมาณ 13% แล้ว ก็ต้องถือว่า ดัชนีตลาดหุ้นทำผลงานได้ดีทีเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำอธิบายก็คือ ไทยกำลังฟื้นตัวเพราะสามารถเปิดประเทศได้ เศรษฐกิจเองในปีหน้าก็คาดว่าจะฟื้นตัวแบบที่เกิดในประเทศอื่นในปีนี้ ดังนั้น หุ้นก็ขึ้น แต่ตกลงหุ้นขึ้นหรือลงเกี่ยวกับโควิดมากน้อยแค่ไหน ผมก็ยังสงสัย หรือหุ้นที่ขึ้นลงในช่วงโควิด 2 ปีนี้แค่เป็นไปตาม "เทรนด์" ของประเทศไทยที่กำลัง "ตกต่ำลง" และอาจจะเป็น "Lost Decade" ที่หุ้นแทบไม่ได้ปรับตัวขึ้นเลยเกือบ 1 ทศวรรษแล้ว?
มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแค่ 6% หรือได้ผลตอบแทนทบต้นเพียงปีละ 1% เศษๆ และนี่ก็รวมผลตอบแทนในปีนี้ที่ค่อนข้างจะดีมากแล้วด้วย ในความรู้สึกของผมก็คือ การปรับตัวขึ้นของหุ้นในปีนี้น่าจะเกิดจาก "แรงเก็งกำไร" ที่มาจากนักลงทุนรายย่อยนับเป็นแสนหรือล้านคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งพวกเขาก็น่าจะซื้อหรือเล่นหุ้นขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถปรับตัวขึ้นแรงได้ เห็นได้จากการที่ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่คือ SET50 นั้นให้ผลตอบแทนน้อยมากที่ 3% ในปีนี้ และติดลบถึง -14.8% ในปีที่แล้ว ขณะที่หุ้นขนาดเล็กคือดัชนี MAI ให้ผลตอบแทนปีนี้ถึง 63.8% และบวก 8.6% ในปีที่แล้ว
สภาพและสถานะของไทยกับอเมริกาอาจจะแตกต่างกันมาก ลองมาเวียตนามที่คล้ายคลึงกับเราดูบ้าง ในปี 2020 ซึ่งเพิ่งเกิดโควิด ดัชนีเวียตนามให้ผลตอบแทนถึง 15% ดีมากพอๆ กับอเมริกา โควิดไม่ได้มีผลอะไรรวมถึงเศรษฐกิจที่ยังบวก 3-4% ในปี 2021 ถึงวันนี้ ดัชนีพุ่งขึ้นไปถึง 36% "ดีที่สุดในโลก" ทั้งๆ ที่โควิดยังระบาดค่อนข้างมากในช่วงปลายปีนี้ แต่โควิดก็ดูเหมือนจะ "ทำอะไรไม่ได้" นักลงทุนเวียตนามไม่กลัวโควิด และแห่กันเข้ามาลงทุน ที่จริงตลาดหุ้นดีมาตลอดอยู่แล้ว ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีปรับขึ้นไป 123% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 17.4% เป็นช่วงปีทองของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม และ 2 ปีที่ผ่านมาก็อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเทรนด์นี้
ถ้าจะมองถึงสถานะของดัชนีตลาดหุ้นในวันนี้ ก็พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดอยู่ในช่วง All Time High และสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมก่อนโควิด นั่นก็คือ ดาวโจนส์สูงกว่าเดิม 22%, S&P สูงกว่าเดิม 40% และ แนสแด็ก สูงกว่าเดิม 61% ในกรณีของไทยนั้น ดัชนีตลาดยังต่ำกว่า All Time High ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ประมาณ 11% ส่วนตลาดเวียดนามนั้น ดัชนีอยู่ในช่วงสูงสุดและสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาประมาณ 23% ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นอเมริกาและเวียดนามนั้นอยู่ในช่วงบูมระยะยาว และโควิดอาจไม่ได้มีผลอะไรเลย ส่วนตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงตกต่ำหรือนิ่งไซ้ต์เวย์ และโควิดก็อาจจะไม่ได้มีผลอะไรมาก นักลงทุนและตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่มีใครกลัวโควิดเลย แม้ว่านักวิเคราะห์จะหวาดผวาโดยเฉพาะกับโควิดสายพันธุ์ใหม่