TPCH พร้อมเดินเครื่องโรงไฟฟ้าสยาม พาวเวอร์ โค้งสุดท้ายปีนี้ หนุนให้หุ้นมี upside เพิ่ม

265 จำนวนผู้เข้าชม  | 

TPCH พร้อมเดินเครื่องโรงไฟฟ้าสยาม พาวเวอร์ โค้งสุดท้ายปีนี้ หนุนให้หุ้นมี upside เพิ่ม


นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ บริษัทฯ กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) จากโครงการโรงไฟฟ้าขยะแห่งแรก สยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิต 9.5 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งหากโรงไฟฟ้าแห่งนี้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มจาก 106.8 MW เป็น 116.3 MW 

สำหรับปีหน้า บริษัทฯ น่าจะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มเติม จากโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล แม่ลาน และโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล บันนังสตา รวม 2 แห่ง ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานมีการเติบโตอย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีก 4 - 6 แห่ง ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) โดยกำลังศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีหน้าด้วย เพราะตาม Master Plan ของบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 250 MW ภายในปี 2568 จากโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ 200 NW และโรงไฟฟ้าขยะ 50 MW 

    

ขณะเดียวกัน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPCH ได้ให้ข้อมูลเพิ่มถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชน ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปีหน้า โดยในเบื้องต้น มีการกำหนดกรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตไม่เกิน 10 MW ในอัตราหน่วยละ 5.08 บาท (FiT Premium 8 ปี หน่วยละ 0.70 บาท) และอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 10 – 50 MW ในอัตาหน่วยละ 3.66 บาท ด้วยระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี ว่า หากเกิดขึ้นจริง จะเอื้อประโยชน์ให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ ต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อีกครั้ง จึงจะได้ข้อสรุปเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ชัดเจน 

ปัจจุบัน TPCH มีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้งหมด 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG, TPCH 5, TPCH 1 และ TPCH 2   



ส่วนผลดำเนินงานของ TPCH งวด 9 เดือนปีนี้ มีรายได้รวม 1,870.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิที่ 147.62 ล้านบาท ลดลง 38.4% YoY เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าคาด โดยยืนประคองตัวระดับสูงนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีก่อนเรื่อยมา ประกอบกับต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับเพิ่มขึ้น กดดันให้อัตรากำไรของบริษัทฯ ต่ำกว่าปกติ

ซึ่งการที่ต้นทุนเชื้อเพลิง และต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนสูงถึง 76% ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้ารวม ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากกสิกรไทย (KS) ยังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 13 บาท ตามเดิม โดยระบุว่า แม้ทางผู้บริหารจะให้ข้อมูลว่าพร้อมหาแนวทางลดต้นทุนเชื้อเพลิงลง 10–15 % ซึ่งก็ได้เริ่มดำเนินการแล้วด้วยการทยอยติดตั้งเครื่องสับย่อยกิ่งไม้ เพื่อลดปริมาณการซื้อกิ่งไม้ป้อนโรงไฟฟ้า SGP, PTG, TPCH1 และ TPCH2 นอกเหนือไปจากการเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรสุทธิในระยะยาว แต่ะยังไม่ให้ upside จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ และความคืบหน้าในการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเพิ่มเติม 

ส่วนนักวิเคราะห์ค่ายโนมูระ พัฒนสิน (CNS) บอกว่า การเข้าลงทุนถือหุ้นเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้า PTG, TPCH 1, TPCH 2 และ TPCH 5 ในเดือนตุลาคม ช่วยให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น (รวมโครงการที่กำลังก่อสร้าง) เพิ่มขึ้น 8 MW เป็น 85 MW โดยโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่บริษัทฯ ถือหุ้นใหญ่และบริหารอยู่แล้ว และมีอัตราการรับซื้อไฟฟ้า 3.2 – 4.0 บาท ซึ่งสูงกว่าการประมูลในรอบก่อน ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้กำไรส่วนเพิ่มจากการถือหุ้นเพิ่มเติมได้ทันที ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งกำไรจากโครงการเหล่านี้จะเป็นตัวผลักดันให้ผลดำเนินงานปีหน้าของ TPCH เติบโตก้าวกระโดดจากปีนี้ 162% ทำให้ประเมินราคาเป้าหมายที่ 14.90 บาท ไม่นับรวม upside เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะที่บริษัทตั้งเป้าลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีก


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้