1828 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 721 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน (QoQ) สาเหตุจากผลดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจลดลงมากกว่าตลาดคาด โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่มีผลขาดทุนสูงถึง 3,403 ล้านบาท ทั้งจากการที่ส่วนต่างราคา (Spread) ผลิตภัณฑ์หลักทั้ง HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha อยู่ในระดับต่ำมาก และยังต้องบันทึกค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยจ่ายสำหรับโรงงานลองเซินปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม (LSP) เต็มไตรมาส ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ของ SCGP มีผลขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2563 จากหลายปัจจัยลบที่เข้ามากดดันพร้อมกัน ประกอบกับในไตรมาส 3 มีกำไรพิเศษจากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย 2,183 ล้านบาท
แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ที่ขาดทุนถึง 1,134 ล้านบาท ผลดำเนินงานกลับถือว่าดีขึ้น ตามรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) มาอยู่ที่ 130,512 ล้านบาท หนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมี บมจ. เอสซีจี เคมิคอลล์ (SCGC) และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ของ บมจ. เอสซีจีพี (SCGP)
ขณะที่ผลดำเนินงานทั้งปี กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิกลับปรับลดลง 76% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 6,342 ล้านบาท จากผลขาดทุนของ LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป กำไรทั้งปีจะลดลงเพียง 52% แต่ก็ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 24 ปี
อย่างไรก็ตาม SCC กลับสามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 53,946 ล้านบาท หนุนจากจากเงินปันผลรับที่เกิดจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ที่เพิ่มขึ้น และผลสำเร็จจากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ทำให้พร้อมจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 2 เมษายนนี้ ก่อนจ่ายเงินตามมาในวันที่ 22 เมษายน ซึ่งหากคิดรวมเงินปันผลที่จ่ายระหว่างกาล ในเดือน ทำให้บริษัทฯ จ่ายปันผลรวมทั้งปี ในอัตราหุ้นละ 5 บาท คิดเป็นสัดส่วน 95% ของกำไร เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โอกาสนี้ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC ยืนยันด้วยว่า ได้วางกลยุทธ์รับมือความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุน ด้วยการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และขายสินทรัพย์บางส่วน เพื่อหนุนการฟื้นตัวของผลดำเนินงาน พร้อมกับเดินหน้าเพิ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สีเขียว รุกขยายตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง อย่าง อเมริกา ยุโรปอินเดีย ตะวันออกกลาง เพิ่มเติมจากตลาดภูมิภาคอาเซียน ควบคู่ไปกับการปรับแผนลงทุน โดยเลือกลงทุนเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว เพื่อบริหารกระแสเงินสดให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งเป็นธุรกิจที่กดดันผลดำเนินงานของ SCC มากที่สุด และยังคงมีความท้าทายจากสถานการณ์อุปทานล้นตลาด เตรียมปรับปรุงโครงการ LSP ให้สามารถใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมจากการใช้แนฟทาและโพรเพน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวให้สูงขึ้น คาดว่าจะเห็นผลสำเร็จจากแผนดังกล่าว ในปี 2570-71