1392 จำนวนผู้เข้าชม |
ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด (KFS) แกนนำการจัดจำหน่ายหุ้น บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เปิดเผยผลการเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.93% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 3 บาท ระหว่างวันที่ 9 – 13 มกราคมที่ผ่านมาว่า ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถปิดยอดจองได้ตามเป้าหมาย ตอกย้ำให้เห็นถึงความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตที่สูง จากการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มโอกาสรับงานโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีการเปิดประมูลอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมถึงการตั้งราคา IPO ที่สมเหตุสมผล
ด้านนายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล (Siam Alpha Capital) ที่ปรึกษาทางการเงิน เสริมว่า PIS ถือเป็นหุ้น Growth Stock ในช่วง 3 ปีนี้ จากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาขยายโอกาสรับงานโครงการที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตก้าวกระโดด ก่อนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว สอดรับกับแผนขยายการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ตามนโยบาย Digital Thailand ทำให้มีการเปิดประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากบริษัทฯ มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีโซลูชั่นครบวงจร และเป็นคู่ค้ากับหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจมายาวนาน ช่วยให้โอกาสได้รับงานมีความเป็นไปได้สูง จึงมีความเชื่อมั่นว่า การเข้าซื้อขายวันแรก ในวันที่ 20 มกราคมนี้ จะได้กระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เหมือนช่วงที่ขายหุ้น IPO
ส่วนนางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS ชี้แจงว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ จากการเพิ่มศักยภาพการรับงานด้านไอซีทีของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ที่มีมูลค่าสูงกว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมาสามารถรับงานมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ให้เติบโตอย่างโดดเด่นจากที่มีล่าสุด 2.1 พันล้านบาท ผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ประการสำคัญ การรับงานโครงการภาครัฐ ยังช่วยให้แหล่งที่มาของรายได้มีความมั่นคง อีกทั้งกำไรมีความผันผวนน้อย เนื่องจากรายได้กว่า 40% เป็นรายได้ประจำ (Recurring income)
เบื้องต้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก 3 ค่าย ที่ร่วมเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้น เชื่อมั่นว่า การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง จะช่วยเพิ่มโอกาสคว้างานโครงการใหญ่ ผลักดันให้ธุรกิจปี 2568-69 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่เติบโตต่ำในปี 2567 เพราะได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณภาครัฐประจำปี โดยคาดกำไรปี 2568 อยู่ในกรอบ 143-146 ล้านบาท ก่อนเติบโตเป็น 171-197 ล้านบาท ในปี 2569 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 2 ปีนี้ ในอัตรา 30% พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 4.10-4.26 บาท