1342 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาว บี เล็ง โก๊ะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (Cargo General Sales Agent -GSA) เปิดเผยทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ว่า มีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องจากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หนุนจากปัจจัยฤดูกาล ทำให้มีความต้องการขนส่งสินค้าเพื่อสต๊อกสินค้าก่อนเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้น โดยคาดปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศทั้งปีน่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 1.35 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 20% ขณะที่ค่าขนส่งทางอากาศยังยืนในระดับสูง ทำให้รายได้จากการให้บริการขนส่งทางอากาศน่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ทำให้มีการเจรจากับสายการบินพันธมิตรเพื่อเพิ่มระวางสินค้าในเส้นทางยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นเส้นทางระยะไกลและได้รับผลตอบแทนดี ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ตลอดจนนำเครื่องมือทางการเงินมาใช้บริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจากรายการภายในกลุ่ม ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ แผนขยายสัญญา GSA กับสายการบินต่างๆ ทั้งจาก 20 ประเทศเดิมที่ดำเนินธุรกิจ และการขยายไปยังประเทศอื่นเพิ่มเติม น่าจะได้รับสัญญาใหม่ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ไม่น้อยกว่า 2 สัญญา ก่อนจะเดินหน้าขยายธุรกิจในญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เพิ่มเติม คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในต้นปี 2568 ช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น หนุนให้แนวโน้มผลดำเนินงานปีหน้าเติบโตดีกว่าปีนี้ตามมาด้วย
ส่วนประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ภาคต่อหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัย 2 น่าจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องมุ่งทำการค้ากับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น รวมถึงไทยที่เข้าร่วมเป็น 1 ใน 13 พันธมิตรของ BRICS ขณะที่จีนเองก็ต้องปรับเปลี่ยนมาใช้ประเทศอื่นๆ เป็นฮับในการขนส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีที่จะเกิดขึ้นตามมา
สำหรับผลดำเนินงานของ ANI ช่วง 9 เดือนปีนี้ มีรายได้จากการให้บริการ 6,014.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนจากอัตราค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น 24% เป็นเกือบ 1 แสนตัน โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากจีน ฮ่องกง และเวียดนาม แต่เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้กำไรสุทธิปรับลดลง 21.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 509.8 ล้านบาท