1803 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 3,908.7 ล้านบาท เติบโต 86.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 5,696.2% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้น 79.0% YoY และ 24.3% QoQ มาอยู่ที่ 8,858.1 ล้านบาท หนุนจากยอดขายผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งน้ำมันปาล์มดิบกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPO) น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามความต้องการของลูกค้าที่เป็น Strategic Partner และลูกค้าใหม่ที่เข้ามาทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทฯ อีกทั้งยังมียอดขายจากผลิตภัณฑ์ใหม่ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) เสริมเพิ่มเข้ามา หนุนให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.5% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ตามรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้น 16.3% YoY มาอยู่ที่ 21,747.9 ล้านบาท ประกอบกับต้นทุนในการจำหน่ายลดลง 6.4% และได้รับผลดีจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิขึ้นจาก 1.1% เป็น 1.8%
โอกาสนี้ นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ PCE เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจไตรมาสสุดท้ายปีนี้ว่า มีสัญญาณสดใสทั้งด้านปริมาณขายและราคาขาย โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบน่าจะยืนระดับสูงต่อเนื่องถึงปีหน้า หนุนจากความต้องการบริโภคในตลาดโลกที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางผลผลิตที่มีจำกัด และสต๊อกที่ลดลง ทำให้เชื่อมั่นว่า รายได้รวมทั้งปีจะเติบโต 10-15% ตามแผนที่วางไว้
สำหรับสัดส่วนรายได้ ยังคงมาจากตลาดในประเทศในสัดส่วนสูงกว่า 60% ตามการเติบโตของความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคอล โดยสิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยปีละ 6-7% ขึ้นมาเป็นเลขสองหลัก ส่วนความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล เติบโตกว่า 7%
ประการสำคัญ ด้วยพัฒนาการของไทยที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้มีโอกาสเติบโตในตลาดส่งออกได้อีกมากในระยะกลางถึงยาว เมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์ม 2 ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณ 82-84% ของทั้งโลก จากปัจจัยหนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุเกิน 8 ปี อยู่ในเกณฑ์อายุที่ให้ผลผลิตต่อไร่ (Yield) สูง มีจำนวนมากขึ้น หรือราคาปาล์มอยู่ในเกณฑ์ดี ช่วยจูงใจให้เกษตรกรมีแรงจูงใจหันมาปลูกปาล์มน้ำมันแทนยางพาราเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเข้ามาสนับสนุนของภาครัฐ เพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมัน จาก 6 ล้านไร่ ในปัจจุบัน เป็น 10 ล้านไร่ ภายในปี 2572