ยก BCH เป็นหุ้นเด่นกลุ่มโรงพยาบาล หลังปลดล๊อคค่า RW ประกันสังคม และการกลับมาของลูกค้าคูเวต ในปี 2568

4944 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ยก BCH เป็นหุ้นเด่นกลุ่มโรงพยาบาล หลังปลดล๊อคค่า RW ประกันสังคม และการกลับมาของลูกค้าคูเวต ในปี 2568


ต้องยอมรับว่า ปี 2567 นี้ เป็นปีชงของ บมจ. บางกอกเชน ฮอลปิทอล (BCH) เพราะราคาหุ้นตลอด 11 เดือนมีการปรับฐานอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยยืนเหนือ 23 บาท ช่วงต้นปี ไหลลงมาทำจุดต่ำสุดของปีที่ 14.80 บาท ในกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนฟื้นตัวขึ้นมายืนที่ 16.50 บาท ช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สาเหตุจากพื้นฐานธุรกิจถูกกดดันจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การที่ฐานลูกค้าต่างชาติหดตัว ผลจากการที่รัฐบาลคูเวตหยุดสนับสนุนการรักษาพยาบาลนอกประเทศ ต่อเนื่องด้วยการที่สำนักงานประกันสังคมมีการปรับลดอัตราการจ่ายค่ารักษาโรคซับซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) จากที่ตั้งไว้ในอัตรา 12,000 บาท ต่อ RW เป็น 7,200 บาท ต่อ RW ทำให้บริษัทฯ ต้องกลับรายการรายได้ค่าบริการใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ลงในงบการเงินงวดไตรมาส 2 ปีนี้ พร้อมกับสร้างความไม่แน่นอนเรื่องอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลดำเนินงานงวดครึ่งหลังปี 2567 นี้ตามมา

อย่างไรก็ตาม วิบากกรรมที่เกิดขึ้นหุ้น กำลังจะค่อยๆ คลายตัวลงไป ในปี 2568 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เมื่อการประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ครั้งล่าสุด ศ. ดร. นพ. เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BCH ออกโรงชี้แจงว่า ที่ประชุมองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสำนักงานประกันสังคม พร้อมการันตีอัตราการจ่ายค่ารักษาโรคซับซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ในอัตรา 12,000 บาท ต่อ RW สำหรับงบประมาณปี 2568 เนื่องจากงบประมาณของปี 2567 ไม่น่าจะเพียงพอ และตามหลักการไม่สามารถจะแก้ไขรายละเอียดงบรายปีได้ บ่งชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเรื่องอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) น่าจะคลายตัวแล้ว โดยคาดว่าจะมีมติอย่างเป็นทางการหลังการประชุมวันที่ 3 ธ.ค. ก่อนถึงกำหนดที่โรงพยาบาลเอกชนจะต้องเซ็นสัญญาสำหรับการให้บริการประกันสังคม ในปี 2568

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น บริษัทฯ ได้ตัดสินใจบันทึกรายได้จากบริการประกันสังคมในส่วนของค่ารักษาโรคซับซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ในอัตรา 7,200 บาท ต่อ RW ในงบการเงินงวดไตรมาสสุดท้ายไว้แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้รายได้และกำไรลดลงทั้งเมื่อเทียบรายปี (YoY) และเทียบรายไตรมาส (QoQ) และไม่ต้องกลับรายการในปี 2568 อีก


 

 

ส่วนการที่รัฐบาลคูเวตหยุดสนับสนุนการรักษาพยาบาลนอกประเทศ มีแนวโน้มคลายตัวตั้งแต่ต้นปี 2568 เมื่อรัฐบาลคูเวตพร้อมอนุญาตให้มีการส่งตัวผู้ป่วยมารับการรักษาในไทยตามเดิม แต่มีการปรับแนวนโยบายจากเดิมที่ส่งตัวรักษาทุกโรค มาเป็นเฉพาะโรครุนแรง ซึ่งบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการรักษาโรคซับซ้อนรุนแรงอยู่แล้ว อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา ทางรัฐบาลคูเวตได้มีการตรวจสอบ และติดต่อเข้ามาเพื่อขอรายละเอียดเรื่องอัตราค่าบริการแล้ว ทำให้เชื่อมั่นว่า BCH จะได้รับเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลเป้าหมายของรัฐบาลคูเวต สนับสนุนให้สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติปีหน้าเพิ่มจาก 18% ในปีนี้ เป็นกว่า 20%

การปลดล๊อคทั้งลูกค้าคูเวต และอัตราการจ่ายค่ารักษาโรคซับซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) สำหรับการให้บริการประกันสังคม ส่งผลให้นักวิเคราะห์ 5 สำนัก ได้แก่ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) โกลเบล็ก (GBS) กสิกรไทย (KS) และกรุงศรี (KSS) เอเซีย พลัส (ASPS) มองบวกต่อความสามารถทำกำไรของ BCH ในปี 2568 ว่า อาจเติบโตเป็นเลข 2 หลัก สวนทางราคาหุ้นทั้ง 11 เดือน ที่อ่อนตัวลงมา 27% โดยปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2568 ระดับ 22 เท่า ใกล้กับระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ถือได้ว่าสะท้อนข่าวลบไปแล้ว จึงน่าสนใจในการเข้าซื้อสะสม

ทั้งนี้ INVX คาดว่า BCH จะรายงานกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 19% YoY หนุนจาก 4 ปัจจัย ปัจจัยแรก การขยาย ปรับปรุงโรงพยาบาล รวมถึงการยกระดับโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี เป็นโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี ในไตรมาสแรกปี 2568 ปัจจัยที่สอง การเพิ่มบริการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี (BCH ถือหุ้น 51%) หรือบริการทันตกรรมเคลื่อนที่ (BCH ถือหุ้น 60%) ในไตรมาส 3 ปี 2567 นี้ ปัจจัยที่สาม การดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้น หนุนจาก 3 โรงพยาบาลใหม่ ได้แก่ เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี กับเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์  และปัจจัยสุดท้าย ฐานรายได้จากการให้บริการผู้ป่วยชาวคูเวตที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้น หลังจากลดลงในปี 2567 คิดเป็นมูลค่าเหมาะสมที่ 21.50 บาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ของ Bloomberg Consensus ซี่งประเมินไว้ที่ 21 บาท  

 

 

 

ขณะที่ KSS และ ASPS แนะรอความชัดเจนของจำนวนผู้ป่วยชาวคูเวต เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอีกครั้ง เพราะยังมีความไม่แน่นอนว่าจะใกล้เคียงกับช่วงปกติมากน้อยเพียงไร แต่เบื้องต้นให้มูลค่าเหมาะสมที่ 20-21 บาท ใกล้เคียงกับ KS ที่ประเมินมูลค่าหุ้นที่ 20.60 บาท

 

 



 


 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้