MEDEZE เคาะราคา IPO ที่ 9 บาท เปิดจอง 2-4 ต.ค. ก่อนดีเดย์ซื้อขายวันแรก 15 ต.ค.

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. เมดีซ กรุ๊ป (MEDEZE) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 268 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.09% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 9 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย คือ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (CGSI) คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ หมวดธุรกิจบริการ กลุ่มการแพทย์ ในวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 9 บาท พิจารณาทั้งจากผลสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน ควบคู่ไปกับการประเมินมูลค่าด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เมื่อพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 35.55 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำธุรกิจธนาคารจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Banking) ซึ่งมีจุดแข็งเรื่องการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลก อีกทั้งมีนักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) จำนวนมาก พร้อมด้วยห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อระดับคลีนรูม และการจัดการระบบขนส่งที่มีประสิทธิ ภาพช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการให้บริการ สร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าโรงพยาบาลกว่า 228 แห่งในประเทศ และตัวแทนจำหน่ายครอบคลุมทั้งในภูมิภาคอาเซียน ผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งรายได้และกำไร

โดยรายได้รวมช่วง 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) เติบโตจาก 446.41 ล้านบาท เป็น 595.70 ล้านบาท และ 701.81 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิขยายตัวจาก 112.06 ล้านบาท เป็น 147.19 ล้านบาท และ 239.57 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ รายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 22.22% มาอยู่ที่ 403.61 ล้านบาท หนุนให้กำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 26.81% มาอยู่ที่ 145.79 ล้านบาท

ที่สำคัญ โอกาสทางธุรกิจยังเปิดกว้าง ทั้งจากภาวะอุตสาหกรรมที่อยู่ในวัฏจักรขาขึ้น และการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  

ขณะที่นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEDEZE ขยายความว่า บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนระบบการจัดเก็บเซลล์ด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Cell Culture System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมขั้นสูงและล้ำสมัยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อยกระดับกระบวนจัดเก็บให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ลดความผิดพลาดของบุคคล และลดความเสี่ยงจากตัวแปรที่มาจากสภาพแวดล้อมต่างๆ สร้างความน่าเชื่อถือทัดเทียมกับผู้ประกอบการชั้นนำทั่วโลก สนับสนุนให้สามารถดึงดูดลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น 

อีกส่วนหนึ่งนำไปลงทุนขยายธุรกิจใหม่ ด้านเซลล์รากผม (Hair Follicle Cell Bank) ด้วยการพัฒนานวัตกรรมเซลล์จากรากผม ช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นผม และหนังศีรษะ ซึ่งมีแนวโน้มจะพบเจอมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงวัย ที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว สร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ถือหุ้น และนักลงทุน

ทั้งนี้ MEDEZE เป็นผู้ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนานกว่า 14 ปี อีกทั้งมีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลก อย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบการแช่แข็งในถังไนโตรเจนเหลว 38 ถัง การใช้เครื่องคัดแยกเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตอัตโนมัติ (AutoXpress) และเครื่องเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนเซลล์ต้นกำเนิดแบบมีเซนไคมอลชนิดอัตโนมัติ (Quantum) ช่วยให้สามารถสกัดเลือดได้ปีละ 2,880 เคส สกัดเนื้อเยื่อได้ปีละ 4,560 เคส และทดสอบศักยภาพของ NK Cells ได้ปีละ 1,920 เคส โดยดำเนินการผ่านบริษัทย่อย 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท เมดีซ เอ็นเค (MN) ทำธุรกิจให้บริการทดสอบ NK Cells, บริษัท เมดีซ คอสเมซูติคอล (MC) ทำธุรกิจจำหน่ายอาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้แบรนด์ DAA และอาหารเสริม ภายใต้แบรนด์ AEDEZEL, บริษัท เมดีซวิจัยและพัฒนา (MR) ทำธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ, บริษัท เมดีซ กรุ๊ป (MG) ทำธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และบริษัท Medeze Treasury (MT) เป็นบริษัทเพื่อการลงทุน (Investment Company) โดยเป็นผู้ถือครองและบริหารตราสินค้าของกลุ่มบริษัทฯ