SEI เคาะราคา IPO ที่ 3.10 บาท เปิดจอง 16-18 ก.ย. ก่อนดีเดย์ซื้อขายวันแรก 24 ก.ย. นี้

5279 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SEI เคาะราคา IPO ที่ 3.10 บาท เปิดจอง 16-18 ก.ย. ก่อนดีเดย์ซื้อขายวันแรก 24 ก.ย. นี้


นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.41% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3.10 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ผ่านบริษัทฯ หลังจาก SEI ได้รับอนุญาต   ให้เสนอขายหลักทรัพย์ฯ จากสำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุดแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) มีผลใช้บังคับแล้ว โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 29.41% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท เทียบราคาพาร์ที่หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 16 – 18 กันยายนนี้ ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 24 กันยายนที่จะถึงนี้     

ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO ที่ 3.10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 19.64 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาส 2 ปีนี้ ซี่งสอดคล้องกับ P/E ของบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน และเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพ อาทิ ธุรกิจความงาม ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เพื่อจำหน่ายให้แก่สถานพยาบาลชั้นนำในประเทศ ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาล หน่วยงานราชการ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก รวมถึงสถาบันการศึกษาแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนจากการก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำด้านจำหน่ายและให้บริการเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ โดยอาศัยจุดแข็งจากความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าทั่วประเทศ และได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Agreement) ผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี ครอบคลุมทุกช่วงเวลาของชีวิต ผ่าน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด (Neonatal Care) กลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ (Endoscope) กลุ่มสินค้าด้านการผ่าตัด (Surgery) กลุ่มสินค้าด้านความงาม (Aesthetic) และกลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (Laboratory)


 



ด้านนายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SEI เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่านการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 155 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อต่อยอดธุรกิจ รวมถึงสั่งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ตลอดจนใช้ในโครงการร่วมลงทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจทางการแพทย์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งอาจรวมถึงคลินิก หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง เพื่อสร้าง Synergy ที่จะยกระดับธุรกิจให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น

ปัจจุบัน SEI ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 18 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้ารัฐบาล อาทิ โรงพยาบาลรัฐ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษาแพทย์ และอื่นๆ 69.5% และเอกชนอีก 30.5% อาทิ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ลูกค้ารายบุคคล และอื่นๆ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ ที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นายวรวัสส์ วัสสานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล (AVANTGARDE CAPITAL) ที่ปรึกษาทางการเงิน สรุปประเด็นว่า ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ SEI และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพการแข่งขัน เพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สามารถดูได้จากผลดำเนินงานย้อนหลังช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2564-66) ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 16.21 ล้านบาท เป็น 17.86 ล้านบาท และ 21.87 ล้านบาท ตามลำดับ ถึงแม้รายได้จะมีความผันผวนในปี 2565 จากปัญหาขาดแคลน Semi-conductor ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด และกลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ ทำให้บริษัทฯ ได้รับสินค้าน้อยลง กดดันให้รายได้ลดลง

ประการสำคัญ ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังได้แสดงความจำนงค์พร้อม Lock Up หุ้นที่ไม่ได้ติด Silent Period เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า พร้อมเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ และจะมุ่งพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้