MST มองหุ้นไทยไตรมาสแรกปี 2565 สดใส ชู 5 หุ้นที่ควรทยอยสะสม ASK, GULF, SCC, SPRC, WICE

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย (MST) ประเมินแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาสแรกนี้ ว่า มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ดีขึ้น ตามพัฒนาการในการกระจายตัวในการฉีดวัคซีนป้องกันผลกระทบจากไวรัสโควิด และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือการส่งออกที่ยังเติบโตดีต่อเนื่องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ถึงแม้จะยังคาดหวังภาคการท่องเที่ยวไม่ได้มาก แต่หากนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น จะทำให้มี อาจมี Upside เพิ่มทันที และช่วยกระตุ้นให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) ตามมา โดยให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไว้ที่ 1,600-1,700 จุด

สำหรับภาพรวมทั้งปี เขาให้เป้าหมายดัชนีสิ้นปีไว้ที่ 1,750 จุด เมื่อตั้งสมมติฐานว่า กำไรต่อหุ้นของตลาดโดยรวม (EPS) อยู่ที่ 94.20 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 13% จากปี 2564 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปในอีกไม่กี่วันนี้  แล้วคำนวณโดยอิง P/E ที่ระดับ 18.6 เท่า เทียบเคียงค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 5 ปีของตลาด คิดเป็น +0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน เขาแนะนำให้ “ทยอยซื้อสะสม” หุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวดี ขานรับเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น ท่ามกลางวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ผสานหุ้นปันผลสูงที่เป็นเป้าหมายนักลงทุนสถาบันช่วงต้นปี  ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและระดับราคา (Valuation) ที่น่าสนใจ จะเลือกหุ้นได้ 5 ตัว ได้แก่ ASK (Fair Value - FV 55 บาท), GULF (FV 48 บาท), SCC (FV 520 บาท), SPRC (FV 11.20 บาท) และ  WICE (FV 22.10 บาท)  

โดย ASK คาดกำไรปี 2564-65 เติบโตเฉลี่ยปีละ 35% และน่าจะเห็นการเติบโตแตะระดับสูงสุดใหม่ทุกไตรมาส จากรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เติบโตแข็งแกร่ง ตามยอดขายรถบรรทุกในประเทศที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากนายหน้าประกันภัยที่ขยายตัวสูง ที่น่าสนใจ ราคาหุ้นซ์้อขายที่ P/E ปีหน้า เพียง 14.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่บริเวณ 24 เท่า

ส่วน GULF คาดกำไรปี 2565 เติบโต 45% จากปี 2564 (YoY) เด่นสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยศึกษา เพราะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้น 33% เป็น 5,045 เมกะวัตต์ (MW) ในจำนวนนี้เป็นพลังงานทางเลือกที่เพิ่มขึ้นราว 200-400 MW จึงมีผลต่อสัดส่วนรายได้พอสมควร

สำหรับ SCC ปี 2565 จะแยกธุรกิจปิโตรเคมีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยเพิ่มมูลค่าและศักยภาพในการเติบโต ที่สำคัญ แนวโน้มธุรกิจในระยะยาวจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต จากธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มกำลังการผลิตขึ้น 55% บรรจุภัณฑ์ครบวงจรโตเท่าตัวใน 5 ปี และวัสดุก่อสร้างเน้นโซลูชั่น oนอกจากนี้ หุ้นยังซื้อขาย P/E ที่ต่ำ แถมยังปันผลดี เพราะมีกระแสเงินสดสูงรองรับการขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ SPRC คาดค่าการกลั่นปี 2565 จะปรับขึ้นจาก 3.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 เป็น  4.5-5.0 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้ง Utilization น่าจะเพิ่มจาก 74% ขึ้นแตะระดับ 85-90% จากความต้องการ Gasoline ที่สูงขึ้น หนุนให้ Spread เพิ่มจากค่าเฉลี่ยปี 2564 ที่ 9 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 11-12 เหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้สามารถกลับมาจ่ายปันผลได้ในอัตรา 5%

ด้าน WICE แนวโน้มกำไรไตรมาสสุดท้ายปี 2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ที่น่าสนใจกว่านั้น บริษัทฯ โดดเด่นกว่ากลุ่ม ด้วยธุรกิจ cross-border ที่คาดจะขยายตัว 159% YoY  คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 28% อีกทั้งคาดอัตรากำไรสุทธิ (GPM) จะเร่งตัวขึ้น ทั้งจากบริการ LTL และ Road-Rail  ที่ได้ประโยชน์จากรถไฟจีน-ลาว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในไตรมาสแรกปี 2565 จะต้องระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงสำคัญๆ 3 เรื่องด้วยกัน คือ ภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะมีพัฒนาการในทางไหน แรงขาย LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฎิทิน (ซื้อเมื่อปี 2559) จะมีมากน้อยเพียงไร และความคืบหน้าในการที่ภาครัฐจะเก็บภาษีซื้อขายหุ้น ว่าจะออกมาเป็นรูปแบบใด ระหว่างการเก็บภาษีการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) กับการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital gain Tax)  หากผลออกมาเป็นกรณีแรก คาดจะส่งผลเชิงลบต่อการลงทุน เนื่องจากทำให้ต้นทุนของนักลงทุนสูงขึ้น ฉุดให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดชะลอตัวตามไปด้วยเช่นกัน และหากบรรยากาศเป็นภาพเชิงลบจริง ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ตลาดย่อตัว