1292 จำนวนผู้เข้าชม |
นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Market บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) เปิดเผยว่า หลังจากได้เปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 135 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.23% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด เมื่อวันที่ 2 – 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ในราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายที่ 7.60 - 8.20 บาท พร้อมกับทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคมตามมา ปรากฎว่า นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มให้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่เพื่อให้เหมาะสมกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นที่ขาดปัจจัยใหม่ๆ จึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่ราคาหุ้นละ 7.80 บาท ทำให้พร้อมคืนเงินส่วนต่างให้กับนักลงทุนรายย่อยที่จองซื้อก่อนหน้านี้ในราคา 8.20 บาท ให้แล้วเสร็จก่อนนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มการแพทย์ วันที่ 20 ธันวาคมศกนี้
ด้านนายคงสิทธิ์ หันจางสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เสริมว่า การกำหนดราคาเสนอขายที่ 7.80 บาท ถือได้ว่าสอดคล้องกับพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตในอนาคตของ NKT ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ จากแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนโครงการโรงพยาบาลนครธน 2 ขนาด 151 เตียง โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ขนาด 85 เตียง รวมถึงขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนเดิมให้เพียงพอกับความต้องการใช้บริการที่เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 8.5% ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อยกระดับโรงพยาบาลขึ้นเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ
ส่วน รศ. ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการ และ ดร. วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) ร่วมกันชี้แจงถึงกลยุทธ์การเติบโตว่า มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่องตลอด 28 ปี ทั้งด้านบุคลากร ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ รวมถึงการนำเอานวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลและรักษาสุขภาพของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ อีกทั้งมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำอย่าง บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ในการจัดตั้งศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาโรคซับซ้อนและโรคทั่วไป ผ่านบริษัท บำรุงราษฎร์ สไปน์ เน็ตเวิร์ก จัดตั้งศูนย์กระดูกสันหลัง หรือร่วมกับบริษัท บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก จัดตั้งศูนย์มะเร็ง ช่วยสร้างการยอมรับและให้ความไว้วางใจในการใช้บริการเพิ่มขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถต่อยอดการให้บริการไปยังกลุ่มชาวต่างชาติ ผ่านตัวแทนด้านการตลาดในเมียนมา และกำลังขยายตลาดกัมพูชาและบังคลาเทศเพิ่มเติม
ที่สำคัญ การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยผลักดันให้แบรนด์ NKT มีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งยังจะช่วยต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจครั้งใหญ่ ผ่านการนำเงินจากการระดมทุนมาใช้ลงทุนโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลนครธน 2 จำนวน 151 เตียง บนถนนเอกชัย ประมาณ 900 ล้านบาท กำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกสำหรับผู้ใช้บริการทั่วไปในปีหน้า ก่อนเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม ในปี 2570 รวมถึงการขยายจำนวนเตียงให้บริการในโรงพยาบาลนครธนเพิ่มอีก 110 เตียง เป็น 260 เตียง ด้วยงบลงทุน 414 ล้านบาท กำหนดทยอยเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ปีหน้า เรื่อยไปจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ในปี 2570 พร้อมกับสร้าง New S-Curve จากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ในโครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลนครธน เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ด้วงบลงทุน 557 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการในปี 2569 เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจอย่างครบวงจร พร้อมก้าวเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญมีเครื่องมือ และมาตรฐานการรักษาที่ทันสมัย บนทำเลศักยภาพเป็นเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก