1923 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ เมดีซ กรุ๊ป (MEDEZE) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 94.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.26% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 9.00% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามรายได้จากการขายและให้บริการที่เพิ่มขึ้น 3.02% QoQ และเพิ่มขึ้น 22.14% YoY มาอยู่ที่ 226.68 ล้านบาท พร้อมกับหนุนให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือน เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนทั้งด้านรายได้และกำไร โดยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 22.20% เป็น 630.29 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิพุ่ง 30.37% มาอยู่ที่ 240.47 ล้านบาท สาเหตุหลักจากกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขาย ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับสามารถเพิ่มฐานพันธมิตรที่เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล รวมถึงตัวแทนทั้ง Dealer และ Agent ทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ผลักดันให้รายได้จากการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ทั้งแบบเก็บจากเลือดสายสะดือ เก็บจากเนื้อเยื่อสายสะดือ เก็บจากเนื้อเยื่อไขมัน และรายได้จากการทดสอบศักยภาพเซลล์ภูมิคุ้มกันทำได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การใช้เครื่องเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคมอลชนิดอัตโนมัติ (Quantum) ที่ซื้อมาในปีนี้ ยงทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ในจำนวนมากในระยะเวลาที่น้อย แต่สามารถรักษาคุณภาพของเซลล์ต้นกำเนิดไว้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ยังช่วยลดต้นทุนในการเพาะเลี้ยงเซลล์ เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น จากที่ทำได้ใน 9 เดือนแรกปีก่อนที่ 35.76% ขยับขึ้นมาที่ 38.15%
ผลดำเนินงานที่เติบโตดีขึ้น YoY ทั้งในไตรมาส 3 และช่วง 9 เดือนปีนี้ ทำให้บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 26 พฤศจิกายนนี้ ก่อนจ่ายปันผลตามมาในวันที่ 11 ธันวาคม
และเพื่อสานต่อความสำเร็จ นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEDEZE เปิดเผยว่า พร้อมเดินตามแผนลงทุนระบบจัดเก็บเซลล์ด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Cell Culture System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมขั้นสูงและล้ำสมัย สามารถเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนจัดเก็บให้สูงยิ่งขึ้น เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ทัดเทียมผู้ประกอบการชั้นนำทั่วโลก ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการใช้รักษาโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมเซลล์จากรากผม (Hair Follicle Cell Bank) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นผม และหนังศีรษะ ที่มีแนวโน้มจะพบเจอมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงวัย ควบคู่ไปกับการขยายตลาดเชิงรุกมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนรายได้ปีนี้ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ก่อนเติบโตเฉลี่ยใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568-70) ไม่ต่ำกว่า 25%
และล่าสุด บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับบริษัท Bridge World เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดธนาคาร Stem Cell ในกัมพูชา ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตทางธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสการจัดเก็บ Stem Cell ทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการภายใต้กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยขยายฐานรายได้และกำไรในระยะยาว พร้อมกับสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และนักลงทุนตามมา