1609 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการเติบโต 26.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 749.91 ล้านบาท หนุนจากแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 19 สาขา เป็น 69 สาขา ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จนได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งด้านคลินิกเวชกรรม ด้านผิวหนัง ด้านความงาม และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ หนุนให้ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth - SSSG) เพิ่มขึ้น 2.8%
อย่างไรก็ตาม อัตรากําไรสุทธิกลับปรับลดลงจาก 11.9% เหลือ 9.8% เนื่องจากรายได้ของแบรนด์ L.A.B.X ไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 4.4% มาอยู่ที่ 74.04 ล้านบาท พร้อมกับกดดันให้กำไรสุทธิงวด 9 เดือนของปี เพิ่มแค่ 6.06% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 223.43 ล้านบาท ทั้งที่รายได้จากการขายและบริการจะเติบโต 30.44% เป็น 2,139.40 ล้านบาท
โดยสัดส่วนรายได้กว่า 65% จะมาจากแบรนด์ THE KLINIQUE (45 สาขา) ตามมาด้วยแบรนด์ L.A.B.X (21 สาขา) และ THE KLINIQUE SURGERY CENTER (1 สาขา) ราว 18% และ 15% ตามลำดับ ที่เหลือเกือบ 2% มาจากแบรนด์ L’CLINIC (1 สาขา) รวมกับ KLINIQ Wellness Spa (1 สาขา)
รายได้ที่ต่ำคาดของแบรนด์ L.A.B.X ส่งผลให้นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KILNIQ ออกมาปรับลดอัตรากําไรสุทธิทั้งปีลงมาจาก 13% เหลือ 11% ส่งผลให้เป้าหมายรายได้ทั้งปีถูกปรับลดจาก 3,000 ล้านบาท เหลือ 2,940 ล้านบาท ตามไปด้วย ถึงแม้ภาพธุรกิจเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนจะมีแนวโน้มสดใสขึ้น แต่ยังคงเป้าหมายรายได้ปีหน้าไว้ที่ 3,500 ล้านบาท ประเมินจากอัตรากำไรสุทธิทั้งปีที่คาดจะทำได้ดีขึ้นเป็น 12% จากการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์ L.A.B.X เพื่อขยายฐานลูกค้าประจำ พร้อมกับลดค่าใช้จ่าย รวมถึงการลดจำนวนการขยายสาขาใหม่เหลืออย่างน้อย 10 สาขา เพื่อให้สอดคล้องกับแผนเตรียมเปิดให้บริการโรงพยาบาล